วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน

โรคลูปุส หรือเอสแอลอี (SLE)
            โรคเอสแอลอี (systemic lupus erythematosus : SLE) หรือ โรคลูปัส เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคออโตอิมมูน (autoimmune disease) ที่มีการสร้างแอนติบอดีหลายชนิด ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ไขข้อ, ผิวหนัง,ไต,ระบบโลหิตวิทยา, หัวใจ, ปอด, ระบบประสาท เป็นต้น โดยทั่วไปการเกิดโรคเอสแอลอี มีหลายสาเหตุด้วยกัน ทั้งที่เกิดจากพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และฮอร์โมนของร่างกาย เมื่อได้รับการกระตุ้นจากเชื้อโรค แสงแดด หรือยา ความรุนแรงของโรคอาจมีตั้งแต่น้อย ๆ ซึ่งรักษาได้ง่ายหรืออาจรุนแรงมากถึงขั้นเสียชีวิตได้
              โดยอาการที่พบบ่อยที่สุดคือ อาการปวดรอบ ๆ ข้อต่าง ๆ เอ็น กล้ามเนื้อ และข้อต่าง ๆ อาจพบอาการอักเสบแดง ร้อนบริเวณข้อ อาการทางผิวหนัง สำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของโรค คือ ผื่นผิวหนังอักเสบที่แก้มทั้ง 2 ข้าง และดั้งจมูก ทำให้ผื่นมีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ นอกจากนั้นยังส่งผลต่อถึงระบบอื่นๆเช่น ระบบประสาท อาจมีอาการปวดศีรษะ ชัก ซึม และในส่วนของระบบไต จะมีอาการบวม ปัสสาวะเป็นฟอง มีโปรตีนในปัสสาวะ มีเม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ แม้ว่าโรคนี้อาจจะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่การปฏิบัติตัวที่ดี การเลือกใช้ยาที่ถูกต้องทั้งชนิด ขนาด และช่วงเวลาที่เหมาะสม จะสามารถควบคุมอาการของโรคนี้ได้
         โอกาสที่จะเป็นโรคเอสแอลอี จะมีในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 10 เท่า นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับอายุ ซึ่งผู้ที่จะเกิดโรคนี้ได้จะมีอายุตั้งแต่15 - 40 ปี และปัจจัยที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือพันธุกรรม ซึ่งอาจจะมีตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้ เช่น แสงแดด ความร้อน ยาบางชนิด เชื้อโรค ความเครียดทางจิตใจ


ปัจจัยที่มีผลต่อการเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย
* อาหาร ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และควรดื่มนมสด ป้องกันกระดูกพรุน
* สภาพจิตใจ ควรหมั่นทำจิตใจให้สงบ ไม่เครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ
* สิ่งแวดล้อม อย่าอยู่ในสถานที่แออัดเพราะจะสามารถติดเชื้อได้ และควรหลีกเลี่ยงแสงแดด
* การออกกำลังกาย

วิธีป้องกันและดูแลรักษา                                      สุขภาพ                                                                                                               
* โรคนี้มีความรุนแรงแตกต่างกัน บางคนอาจมีอาการเล็กน้อย แต่บางคนอาจมีอาการรุนแรงได้ แม้จะมีอาการเล็กน้อยแต่ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาการอาจจะรุนแรงมากขึ้นได้เพราะ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังจะมีอาการกำเริบและสงบสลับกันไป ดังนั้นควรมารับการตรวจรักษาจากแพทย์โดยสม่ำเสมอ รับประทานยาตามสั่งโดยเคร่งครัด ไม่ควรหยุดยาหรือลดยาเอง เพราะอาจทำให้โรคกำเริบ                                                                                                                                                                   *  หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อเพราะอาจจะติดเชื้อได้                                                                                           
*  ถ้ามีอาการผิดปกติ ที่อาจบ่งว่าโรคกำเริบ เช่น ไข้ อ่อนเพลีย ผมร่วง ผื่นผิวหนังเห่อแดง ปวดข้อ ควรมาพบแพทย์ก่อนนัดได้และหมั่นตรวจสุภาพเป็นประจำ
*  หลีกเลี่ยงจากแสงแดดในช่วงเวลาระหว่าง 10.00-16.00 น. เพราะจะทำให้โรคกำเริบได้ ควรใช้ยากันแดด ใส่หมวก กางร่ม สวมเสื้อแขนยาว ถ้าจะต้องออกไปถูกแสงแดด
*  หลีกเลี่ยงภาวะเครียดทั้งร่างกายแลtใจและหมั่นออกกำลังกาย  และควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ                                                                                                                                                    
                                                                      







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น